วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558

หลักการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ Principles of Composition

การจัดองค์ประกอบทางศิลปะ เป็น หลักสำคัญสำหรับผู้สร้างสรรค์ และผู้ศึกษางานศิลปะ
เนื่องจากผลงานศิลปะใด ๆ ก็ตาม ล้วนมีคุณค่าอยู่ 2 ประการ คือ คุณค่าทางด้านรูปทรง และ คุณค่าทางด้านเรื่องราว คุณค่าทางด้านรูปทรง เกิดจากการนำเอา องค์ประกอบต่าง ๆ ของ ศิลปะ อันได้แก่ เส้น สี แสงและเงา รูปร่าง รูปทรง พื้นผิว ฯลฯ มาจัดเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดความงาม ซึ่งแนวทางในการนำองค์ประกอบต่าง ๆ มาจัดรวมกันนั้น เรียกว่า การจัดองค์ ประกอบศิลป์ (Art Composition) โดยมีหลักการจัดตามที่จะกล่าวต่อไป 
อีกคุณค่าหนึ่งของงานศิลปะ คือ คุณค่าทางด้านเนื้อหา เป็นเรื่องราว หรือสาระของผลงานที่ศิลปินผู้สร้าง สรรค์ ต้องการที่จะแสดงออกมา ให้ผู้ชมได้สัมผัส รับรู้ โดยอาศัยรูปลักษณะที่เกิดจากการจัดองค์ประกอบศิลป์นั่นเอง หรืออาจกล่าวได้ว่า ศิลปิน นำเสนอเนื้อหาเรื่องราวผ่านรูปลักษณะที่เกิดจากการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ ถ้าองค์ประกอบที่จัดขึ้น ไม่สัมพันธ์กับเนื้อหาเรื่องราวที่นำเสนอ งานศิลปะนั้นก็จะขาดคุณค่าทางความงามไป ดังนั้นการจัดองค์ประกอบศิลป์ จึงมีความสำคัญในการสร้างสรรค์งานศิลปะเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้งานศิลปะทรงคุณค่าทางความงามอย่างสมบูรณ์

การจัดองค์ประกอบของศิลปะ มีหลักที่ควรคำนึงอยู่ 5 ประการ คือ
1. สัดส่วน (Proportion)
สัดส่วน หมายถึง ความสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสมระหว่างขนาดของ
องค์ประกอบที่แตกต่างกัน ทั้งขนาดที่อยู่ในรูปทรงเดียวกันหรือระหว่างรูปทรง และรวมถึง
ความสัมพันธ์กลมกลืนระหว่างองค์ประกอบทั้งหลายด้วย ซึ่งเป็นความพอเหมาะพอดี ไม่
มากไม่น้อย ขององค์ประกอบทั้งหลายที่นำมาจัดรวมกัน ความเหมาะสมของสัดส่วนอาจ
พิจารณาจากคุณลักษณะดังต่อไปนี้

1.1 สัดส่วนที่เป็นมาตรฐาน จากรูปลักษณะตามธรรมชาต ของ คน สัตว์ พืช ซึ่งโดยทั่วไป
ถือว่า สัดส่วนตามธรรมชาติ จะมีความงามที่เหมาะสมที่สุด หรือจากรูปลักษณะที่เป็นการ
สร้างสรรค์ของมนุษย์ เช่น Gold section เป็นกฎในการสร้างสรรค์รูปทรงของกรีก ซึ่งถือว่า
"ส่วนเล็กสัมพันธ์กับส่วนที่ใหญ่กว่า ส่วนที่ใหญ่กว่าสัมพันธ์กับส่วนรวม" ทำให้สิ่งต่าง ๆ
ที่สร้างขึ้นมีสัดส่วนที่สัมพันธ์กับทุกสิ่งอย่างลงตัว

1.2 สัดส่วนจากความรู้สึก โดยที่ศิลปะนั้นไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อความงามของรูปทรงเพียง
อย่างเดียว แต่ยังสร้างขึ้นเพื่อแสดงออกถึง เนื้อหา เรื่องราว ความรู้สึกด้วย สัดส่วนจะช่วย
เน้นอารมณ์ ความรู้สึก ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ และเรื่องราวที่ศิลปินต้องการ ลักษณะเช่น
นี้ ทำให้งานศิลปะของชนชาติต่าง ๆ มีลักษณะแตกต่างกัน เนื่องจากมีเรื่องราว อารมณ์ และ
ความรู้สึกที่ต้องการแสดงออกต่าง ๆ กันไป เช่น กรีก นิยมในความงามตามธรรมชาติเป็น
อุดมคติ เน้นความงามที่เกิดจากการประสานกลมกลืนของรูปทรง จึงแสดงถึงความเหมือน
จริงตามธรรมชาติ ส่วนศิลปะแอฟริกันดั้งเดิม เน้นที่ความรู้สึกทางวิญญานที่น่ากลัว ดังนั้น
รูปลักษณะจึงมีสัดส่วนที่ผิดแผกแตกต่างไปจากธรรมชาติทั่วไป

2. ความสมดุล (Balance)
ความสมดุล หรือ ดุลยภาพ หมายถึง น้ำหนักที่เท่ากันขององค์ประกอบ ไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
ในทางศิลปะยังรวมถึงความประสานกลมกลืน ความพอเหมาะพอดีของ ส่วนต่าง ๆ
ในรูปทรงหนึ่ง หรืองานศิลปะชิ้นหนึ่ง การจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ลงใน งานศิลปกรรมนั้น
จะต้องคำนึงถึงจุดศูนย์ถ่วง ในธรรมชาตินั้น ทุกสิ่งสิ่งที่ทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ล้มเพราะมีน้ำหนักเฉลี่ยเท่ากันทุกด้าน
ฉะนั้น ในงานศิลปะถ้ามองดูแล้วรู้สึกว่าบางส่วนหนักไป แน่นไป หรือ เบา บางไป
ก็จะทำให้ภาพนั้นดูเอนเอียง และเกิดความ รู้สึกไม่สมดุล เป็นการบกพร่องทางความงาม
ดุลยภาพในงานศิลปะ มี 2 ลักษณะ คือ

1. ดุลยภาพแบบสมมาตร (Symmetry Balance) หรือ ความสมดุลแบบซ้ายขวาเหมือนกัน
คือ การวางรูปทั้งสองข้างของแกนสมดุล เป็นการสมดุลแบบธรรมชาติลักษณะแบบนี้ใน
ทางศิลปะมีใช้น้อย ส่วนมากจะใช้ในลวดลายตกแต่ง ในงานสถาปัตยกรรมบางแบบ หรือ
ในงานที่ต้องการดุลยภาพที่นิ่งและมั่นคงจริง ๆ
2. ดุลยภาพแบบอสมมาตร (Asymmetry Balance) หรือ ความสมดุลแบบซ้ายขวาไม่เหมือน
กัน มักเป็นการสมดุลที่เกิดจาการจัดใหม่ของมนุษย์ ซึ่งมีลักษณะที่ทางซ้ายและขวาจะไม่
เหมือนกัน ใช้องค์ประกอบที่ไม่เหมือนกัน แต่มีความสมดุลกัน อาจเป็นความสมดุลด้วย
น้ำหนักขององค์ประกอบ หรือสมดุลด้วยความรู้สึกก็ได้ การจัดองค์ประกอบให้เกิดความ
สมดุลแบบอสมมาตรอาจทำได้โดย เลื่อนแกนสมดุลไปทางด้านที่มีน้ำหนักมากว่า หรือ
เลื่อนรูปที่มีน้ำหนักมากว่าเข้าหาแกน จะทำให้เกิดความสมดุลขึ้น หรือใช้หน่วยที่มีขนาด
เล็กแต่มีรูปลักษณะที่น่าสนใจถ่วงดุลกับรูปลักษณะที่มีขนาดใหญ่แต่มีรูปแบบธรรมดา

3. จังหวะลีลา (Rhythm)
จังหวะลีลา หมายถึง การเคลื่อนไหวที่เกิดจาการซ้ำกันขององค์ประกอบ
เป็นการซ้ำที่เป็นระเบียบ จากระเบียบธรรมดาที่มีช่วงห่างเท่าๆ กัน มาเป็นระเบียบที่สูงขึ้น ซับซ้อนขึ้น
จนถึงขั้นเกิดเป็นรูปลักษณะของศิลปะ โดยเกิดจาก การซ้ำของหน่วย หรือการสลับกันของหน่วยกับช่องไฟ
หรือเกิดจาก การเลื่อนไหลต่อเนื่องกันของเส้น สี รูปทรง หรือ น้ำหนัก

รูปแบบๆ หนึ่ง อาจเรียกว่าแม่ลาย การนำแม่ลายมาจัดวางซ้ำ ๆ กันทำให้เกิดจังหวะ
และถ้าจัดจังหวะให้แตกต่างกันออกไป ด้วยการเว้นช่วง หรือสลับช่วง ก็จะเกิดลวดลาย
ที่แตกต่างกันออกไป ได้อย่างมากมาย แต่จังหวะของลายเป็นจังหวะอย่างง่าย ๆ ให้ความ
รู้สึกเพียงผิวเผิน และเบื่อง่าย เนื่องจากขาดความหมาย เป็นการรวมตัวของสิ่งที่เหมือนกัน
แต่ไม่มีความหมายในตัวเอง จังหวะที่น่าสนใจและมีชีวิต ได้แก่ การเคลื่อนไหวของ คน
สัตว์ การเติบโตของพืช การเต้นรำ เป็นการเคลื่อนไหวของโครงสร้างที่ให้ความบันดาล
ใจในการสร้างรูปทรงที่มีความหมาย
 
เนื่องจากจังหวะของลายนั้น ซ้ำตัวเองอยู่ตลอดไปไม่มีวันจบ และมีแบบรูปของการซ้ำ
ที่ตายตัว แต่งานศิลปะแต่ละชิ้นจะต้องจบลงอย่างสมบูรณ์ และมีความหมายในตัว งาน
ศิลปะทุกชิ้นมีกฎเกณฑ์และระเบียบที่ซ่อนลึกอยู่ภายใน ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
งานชิ้นใดที่แสดงระเบียบกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเกินไป งานชิ้นนั้นก็จะจำกัดตัวเอง ไม่ต่าง
อะไรกับลวดลายที่มองเห็นได้ง่าย ไม่มีความหมาย ให้ผลเพียงความเพลิดเพลินสบายตา
แก่ผู้ชม

4. การเน้น (Emphasis)
การเน้น หมายถึง การกระทำให้เด่นเป็นพิเศษกว่าธรรมดา ในงานศิลปะจะต้องมี ส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือจุดใดจุดหนึ่ง ที่มีความสำคัญกว่าส่วนอื่น ๆ เป็นประธานอยู่ ถ้าส่วนนั้นๆ อยู่ปะปนกับส่วนอื่น ๆ และมีลักษณะเหมือน ๆ กัน ก็อาจถูกกลืน หรือ ถูกส่วนอื่นๆที่มีความสำคัญน้อยกว่าบดบัง หรือแย่งความสำคัญ ความน่าสนใจไปเสีย งานที่ไม่มีจุดสนใจ หรือประธาน จะทำให้ดูน่าเบื่อ เหมือนกับลวดลายที่ถูกจัดวางซ้ำกัน
โดยปราศจากความหมาย หรือเรื่องราวที่น่าสนใจ ดังนั้น ส่วนนั้นจึงต้องถูกเน้น ให้เห็นเด่นชัดขึ้นมา เป็นพิเศษกว่าส่วนอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้ผลงานมีความงาม สมบูรณ์ ลงตัว และน่าสนใจมากขึ้น การเน้นจุดสนใจสามารถทำได้ 3 วิธี คือ
1. การเน้นด้วยการใช้องค์ประกอบที่ตัดกัน (Emphasis by Contrast) สิ่งที่แปลกแตก
ต่างไปจากส่วนอื่นๆ ของงาน จะเป็นจุดสนใจ ดังนั้น การใช้องค์ประกอบที่มีลักษณะ
แตกต่าง หรือขัดแย้ง กับส่วนอื่น ก็จะทำให้เกิดจุดสนใจขึ้นในผลงานได้ แต่ทั้งนี้ต้อง
พิจารณาลักษณะความแตกต่างที่นำมาใช้ด้วยว่า ก่อให้เกิดความขัดแย้งกันในส่วนรวม
และทำให้เนื้อหาของงานเปลี่ยนไปหรือไม่ โดยต้องคำนึงว่า แม้มีความขัดแย้ง แตก
ต่างกันในบางส่วน และในส่วนรวมยังมีความกลมกลืนเป็นเอกภาพเดียวกัน
2. การเน้นด้วยการด้วยการอยู่โดดเดี่ยว (Emphasis by Isolation) เมื่อสิ่งหนึ่งถูกแยก
ออกไปจากส่วนอื่น ๆ ของภาพ หรือกลุ่มของมัน สิ่งนั้นก็จะเป็นจุดสนใจ เพราะเมื่อ
แยกออกไปแล้วก็จะเกิดความสำคัญขึ้นมา ซึ่งเป็นผลจากความแตกต่าง ที่ไม่ใช่แตก
ต่างด้วยรูปลักษณะ แต่เป็นเรื่องของตำแหน่งที่จัดวาง ซึ่งในกรณีนี้ รูปลักษณะนั้นไม่
จำเป็นต้องแตกต่างจากรูปอื่น แต่ตำแหน่งของมันได้ดึงสายตาออกไป จึงกลายเป็น
จุดสนใจขึ้นมา
3. การเน้นด้วยการจัดวางตำแหน่ง (Emphasis by Placement) เมื่อองค์ประกอบอื่น ๆ
ชี้นำมายังจุดใด ๆ จุดนั้นก็จะเป็นจุดสนใจที่ถูกเน้นขึ้นมา และการจัดวางตำแหน่งที่
เหมาะสม ก็สามารถทำให้จุดนั้นเป็นจุดสำคัญขึ้นมาได้เช่นกัน
พึงเข้าใจว่า การเน้น ไม่จำเป็นจะต้องชี้แนะให้เห็นเด่นชัดจนเกินไป สิ่งที่จะต้อง
ระลึกถึงอยู่เสมอ คือ เมื่อจัดวางจุดสนใจแล้ว จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้สิ่งอื่นมา
ดึงความสนใจออกไป จนทำให้เกิดความสับสน การเน้น สามารถกระทำได้ด้วยองค์
ประกอบต่าง ๆ ของศิลปะ ไม่ว่าจะเป็น เส้น สี แสง-เงา รูปร่าง รูปทรง หรือ พื้นผิว
ทั้งนี้ขึ้นอยู่ความต้องการในการนำเสนอของศิลปินผู้สร้างสรรค์

5. เอกภาพ (Unity)
เอกภาพ หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขององค์ประกอบศิลป์ทั้งด้านรูปลักษณะ
และด้านเนื้อหาเรื่องราว เป็นการประสานหรือจัดระเบียบของส่วนต่าง ๆ
ให้เกิดความเป็น หนึ่งเดียว เพื่อผลรวมอันไม่อาจแบ่งแยกส่วนใดส่วนหนึ่งออกไป
การสร้างงานศิลปะ คือ การสร้างเอกภาพขึ้นจากความสับสน ความยุ่งเหยิง เป็นการจัดระเบียบ
และดุลยภาพ ให้แก่สิ่งที่ขัดแย้งกันเพื่อให้รวมตัวกันได้ โดยการเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆให้สัมพันธ์กัน
เอกภาพของงานศิลปะ มีอยู่ 2 ประการ คือ

1. เอกภาพของการแสดงออก หมายถึง การแสดงออกทีมีจุดมุ่งหมายเดียว แน่นอน และมี
ความเรียบง่าย งานชิ้นเดียวจะแสดงออกหลายความคิด หลายอารมณ์ไม่ได้ จะทำให้สับสน
ขาดเอกภาพ และการแสดงออกด้วยลักษณะเฉพาตัวของศิลปินแต่ละคน ก็สามารถทำให้
เกิดเอกภาพแก่ผลงานได้
2. เอกภาพของรูปทรง คือ การรวมตัวกันอย่างมีดุลยภาพ และมีระเบียบขององค์ประกอบ
ทางศิลปะ เพื่อให้เกิดเป็นรูปทรงหนึ่ง ที่สามารถแสดงความคิดเห็นหรืออารมณ์ของศิลปิน
ออกได้อย่างชัดเจน เอกภาพของรูปทรง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อความงามของผลงานศิลปะ
เพราะเป็นสิ่งที่ศิลปินใช้เป็นสื่อในการแสดงออกถึงเรื่องราว ความคิด และอารมณ์ ดังนั้น
กฎเกณฑ์ในการสร้างเอกภาพในงานศิลปะเป็นกฎเกณฑ์เดียวกันกับธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ 2
หัวข้อ คือ
1. กฎเกณฑ์ของการขัดแย้ง (Opposition) มีอยู่ 4 ลักษณะ คือ
1.1 การขัดแย้งขององค์ประกอบทางศิลปะแต่ละชนิด และรวมถึงการขัดแย้งกันของ
องค์ประกอบต่างชนิดกันด้วย
1.2 การขัดแย้งของขนาด
1.3 การขัดแย้งของทิศทาง
1.4 การขัดแย้งของที่ว่างหรือ จังหวะ
2. กฎเกณฑ์ของการประสาน (Transition) คือ การทำให้เกิดความกลมกลืน ให้สิ่งต่าง ๆ
เข้ากันด้อย่างสนิท เป็นการสร้างเอกภาพจากการรวมตัวของสิ่งที่เหมือนกันเข้าด้วยกัน
การประสานมีอยู่ 2 วิธี คือ
2.1 การเป็นตัวกลาง (Transition) คือ การทำสิ่งที่ขัดแย้งกันให้กลมกลืนกัน ด้วยการ
ใช้ตัวกลางเข้าไปประสาน เช่น สีขาว กับสีดำ ซึ่งมีความแตกต่าง ขัดแย้งกันสามารถทำให้
อยู่ร่วมกันได้อย่างมีเอกภาพ ด้วยการใช้สีเทาเข้าไปประสาน ทำให้เกิดความกลมกลืนกัน
มากขึ้น
2.2 การซ้ำ (Repetition) คือ การจัดวางหน่วยที่เหมือนกันตั้งแต่ 2 หน่วยขึ้นไป เป็น
การสร้างเอกภาพที่ง่ายที่สุด แต่ก็ทำให้ดูจืดชืด น่าเบื่อที่สุด


นอกเหนือจากกฎเกณฑ์หลักคือ การขัดแย้งและการประสานแล้ว ยังมีกฎเกณฑ์รอง
อีก 2 ข้อ คือ
1. ความเป็นเด่น (Dominance) ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ
1.1 ความเป็นเด่นที่เกิดจากการขัดแย้ง ด้วยการเพิ่ม หรือลดความสำคัญ ความน่าสนใจ
ในหน่วยใดหน่วยหนึ่งของคู่ที่ขัดแย้งกัน
1.2 ความเป็นเด่นที่เกิดจากการประสาน
2. การเปลี่ยนแปร (Variation) คือ การเพิ่มความขัดแย้งลงในหน่วยที่ซ้ำกัน เพื่อป้องกัน
ความจืดชืด น่าเบื่อ ซึ่งจะช่วยให้มีความน่าสนใจมากขึ้น การเปลี่ยนแปรมี 4 ลักษณะ คือ
2.1 การปลี่ยนแปรของรูปลักษณะ
2.2 การปลี่ยนแปรของขนาด
2.3 การปลี่ยนแปรของทิศทาง
2.4 การปลี่ยนแปรของจังหวะ
การเปลี่ยนแปรรูปลักษณะจะต้องรักษาคุณลักษณะของการซ้ำไว้ ถ้ารูปมีการเปลี่ยน
แปรไปมาก การซ้ำก็จะหมดไป กลายเป็นการขัดแย้งเข้ามาแทน และ ถ้าหน่วยหนึ่งมีการ
เปลี่ยนแปรอย่างรวดเร็ว มีความแตกต่างจากหน่วยอื่น ๆ มาก จะกลายเป็นความเป็นเด่น
เป็นการสร้างเอกภาพด้วยความขัดแย้ง

credit : http://www.prc.ac.th/newart/webart/composition01.html

แสงและเงา

การวาดภาพแสงเงา

การวาดภาพแสงเงาสามารถแยกได้ 3 ประเภทใหญ่ดังนี้
1. ภาพแสงเงา 2 ระยะ หมายถึง ภาพที่แสดงเพียง 2 ระยะส่วนใหญ่จะเห็นเงาเป็นเพียงแผ่นบางๆเน้นส่วนรายละเอียด (DETAIL) น้อง
2. ภาพแสงเงา 3 ระยะ หมายถึง ภาพที่แสดงน้ำหนักแสงเงาค่อนข้างชัดเจนมากกว่าภาพ 2 ระยะ เห็นรายละเอียดได้มากกว่า แสดงส่วนที่เป็นแสงสว่างและเงามืดได้ชัดเจนกว่า
3. ภาพแสงเงากลมกลืน หมายถึง ภาพที่แสดงแสงเงาใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุดรายละเอียดชัดเจนจะเป็นภาพวาดที่มีลักษณะเหมือนจริงมาก



เงาของวัตถุ
เงาของวัตถุมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับแสงสว่างที่มากระทบวัตถุนั้นแสงสว่างน้อยเงาที่เกิดขึ้นกับวัตถุก็จะน้อย ถ้าแสงสว่างจัดมากเงาของวัตถุที่ปรากฏก็จะเข้มชัดมากขึ้นด้วย ลักษณะของเงาตกทอดนั้นสามารถแยกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. เงาตกทอด หมายถึง แสงสว่างที่มากระทบวัตถุแล้วเกิดเป็นเงาตกทอดไปยังพื้นที่ที่วัตถุนั้นวางอยู่
2. เงาคาบเกี่ยว หมายถึง แสงสว่างที่มากระทบวัตถุแล้วเกิดเป็นเงาตกทอดไปยังพื้นและมีวัตถุใกล้เคียงวางอยู่หรือวางอยู่ใกล้ผนังเงาที่ใกล้ผนังเงาที่เกิดขึ้นก็จะเกิดจากพื้นและทอดไปยังวัตถุใกล้เคียง


แสงและเงาช่วยให้การวาดเส้นแรเงาดูเป็นสามมิติหรือเหมือนจริงมากที่สุด ดังนั้นผู้ที่ฝึกวาดรูปจึงควรต้องศึกษาเรื่องของแสงเงาก่อน
1. แสงสว่างจัด (HIGH LIGHT) คือ บริเวณของวัตถุที่ถูกแสงสว่างโดยตรงและมากที่สุด การวาดถ้าเป็นวัตถุแข็งหรือเป็นเงามัน ควรทิ้งส่วนที่แสงสว่างที่สุดให้เป็นกระดาษขาวได้เลยแต่ถ้าเป็นวัตถุที่ไม่เป็นเงามัน หรือวัตถุที่นุ่มนวลควรแรเงาด้วยดินสอเบาๆ ให้ซ๊อฟไปกับตำแหน่งแสงสว่างจะทำให้ภาพนั้นดูนุ่มและไม่เกิดความรู้สึกที่แข็ง
2. แสงสว่าง (LIGHT) คือ บริเวณที่ไม่ถูกแสงกระทบโดยตรงจะเป็นแสงเรื่อๆอมเทาการวาดให้แรเงาแบบเกลี่ยเรียบจากน้ำหนักเงามาจนถึงแสงสว่าง
3. เงา (SHADOW) คือ บริเวณที่ถูกแสงน้อยที่สุด การวาดควรเน้นส่วนที่เป็นเงาให้เข้ม และเน้นเส้นรอบนอก (OUT LINE) ดังนั้นการประกอบกันระหว่างแสงสว่างจัด แสงสว่าง และเงาจะเกิดเป็นภาพสามมิติหรือภาพวาดที่มีชีวิต
4. แสงสะท้อน (REFLECT LIGHT) คือ บริเวณที่มีแสงของวัตถุโดยรอบสะท้อนเข้ามาในวัตถุนั้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านของแสงหรือเงาจะได้รับอิทธิพลของแสงสะท้อนนี้ได้เหมือนกัน
5. เงาตกกระทบหรือเงาของวัตถุ (CASTSHADOW) จะอยู่ด้านเงามืดของวัตถุเสมอเป็นเงาของวัตถุที่ตกกระทบพื้น เงาของวัตถุจะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับรูปทรงของวัตถุและมุมของแสงที่มากระทบ


credit : http://www.showwallpaper.com/view.php?topic=6928

หลักการวาดเส้น

1. องค์ประกอบ (COMPOSITION) หมายถึง การจัดวางตำแหน่งที่เหมาะสมของภาพที่จะวางลงบนกระดาษ โดยภาพนั้นจะต้องไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป ถ้าภาพนั้นใหญ่จนเกินไปจะทำให้ดูแล้วรู้สึกอึดอัดไม่สวยงาม หรือจัดวางภาพที่มีขนาดเล็กจนเกินไป จะทำให้มีความรู้สึกว่าพื้นที่ของกระดาษจะดูโล่งและไม่ได้สัดส่วนกับพื้นที่กระดาษ หรือการจัดวางรูปภาพที่สูงจนเกินไป ต่ำเกินไปเอียงไปด้านไหนด้านหนึ่ง การจัดภาพลักษณะนี้ถือว่าเป็นการทำลายความงามของภาพตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว

2. ภาพร่าง (SKETCH) หมายถึง การวาดโครงสร้างสิ่งต่างๆลงบนกระดาษโดยการพิจารณาโครงสร้างโดยรวมของรูปภาพทั้งหมด โดยการตัดทอนรายละเอียดออกเสียก่อน ภาพร่างประกอบไปด้วยรูปทรงและเส้นแกนในร่าง หรือการแบ่งส่วนของวัตถุนั้นให้มีขนาดและสัดส่วนที่ถูกต้อง บางคนเข้าใจว่าภาพร่างจะต้องมีลายเส้นที่น้อย สะอาดและชัดเจนในความเป็นจริงแล้วภาพร่างก็คือภาพสเก็ตช์ จะมีกี่สิบเส้นไม่สำคัญขึ้นอยู่กับการร่างที่ได้สัดส่วนถูกต้อง


3. เส้นรอบนอก (OUT LINE) หมายถึง เส้นที่ใช้วาดรอบนอกวัตถุต่างๆใช้ในการเน้นเพื่อให้วัตถุนั้นดูคมชัดขึ้น และเน้นในส่วนที่เป็นเงาหรือในส่วนที่เข้ม


4. รายละเอียด (DETAIL) หมายถึง ความละเอียดของรูปภาพทั้งหมดที่เรามองเห็นได้ถ้าอยู่ในระดับนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่เริ่มหัดวาด รายละเอียดก็นับว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด การฝึกมอง ฝึกสังเกต ฝึกวาดบ่อยๆ จะเป็นการพัฒนาฝีมือในขั้นสูงต่อไป


5. แสงและเงา (LIGHT AND SHADOW) การวาดภาพที่มีการแสดงน้ำหนักแสงเงาที่ชัดเจนนั้น จะถ่ายทอดตามสายตาที่มองเห็น เช่น ความลึก ตื้น หนา บาง นูน เรียบ โค้ง เว้า ได้ชัดเจนมากกว่าภาพที่แสดงด้วยเส้นเพียงเส้นเดียวการวาดภาพเบื้องต้นต้องฝึกหัดใช้สีเพียงสีเดียวสังเกตลักษณะของแสงเงาในวัตถุนั้นให้ได้


credit : http://www.showwallpaper.com/view.php?topic=6928

ชนิดของเส้นที่ใช้ในการเขียนภาพ


เส้นที่ใช้เขียนภาพส่วนมากนำนำมาใช้ในส่วนของการแรเงาภาพซึ่งมีวิธีดังนี้
- เกลี่ยเรียบด้วยดินสอ แล้วใช้มือถูช่วยในบางส่วน จะเกิดภาพที่มีความนุ่มนวลหวานซึ้ง
- เกลี่ยเรียบด้วยเส้นทางเดียวกัน จะเกิดภาพที่มองดูแล้ว มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
- เส้นตรงตัดกัน จะเกิดภาพที่มีความหนักแน่น แข็งแรง
- เส้นโค้งและเส้นโค้งตัดกัน จะเกิดภาพที่มีลีลาการใช้เส้นแปลกออกไปจะมีความรู้สึกเคลื่อนไหวในตนเอง
- เส้นวนไปวนมา จะเกิดภาพที่มีความแปลกตาผู้เขียนจะต้องมีความอุตสาหะและมีความละเอียดพอสมควร
- เส้นผสม จะเกิดภาพที่มีความงามแปลกออกไป เพิ่มความน่าดูยิ่งขึ้น




credit : http://www.showwallpaper.com/view.php?topic=6928

พื้นฐานการจับดินสอ

 


แบบคว่ำมือ

การจับดินสอลักษณะคว่ำมือใช้ได้ทั้งการจับดินสอและการปาดเกรยองเหมาะสำหรับการร่างภาพโครง
ร่างโดยรวมคร่าวๆ โดยการบังคับนิ้วมือและนิ้วชี้ในการเหวี่ยงข้อมือได้สะดวกทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว

แบบหงายมือ

การจับดินสอลักษณะหงายมือใช้ในการร่างภาพโครงร่างโดยรวมคร่าวๆคล้ายกับการจับดินสอแบบคว่ำ
มือ

จับแบบเขียนหนังสือ

เมื่อได้ภาพร่างแล้ว การลงเส้นจริงหรือการแรเงา จะใช้การจับดินสอเหมือนกับการเขียนหนังสือทั่วไป
เหมาะสำหรับการเก็บรายละเอียดในพื้นที่แคบ
 

การหมุนข้อมือ

ในการวาดเส้นการร่างภาพตลอดจนการลงน้ำหนักจะใช้วิธีการหมุนข้อมือไปในทิศทางต่างๆทั้งซ้ายขวา
บนและล่างอย่างคล่องมือ

credit : http://www.showwallpaper.com/view.php?topic=6928

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้เขียนภาพ


1. กระดานรองวาด (DRAWING BOARD)
ลักษณะเป็นกระดานไม้อัด กระดานอัดหรือพลาสติกเนื้อแข็งที่มีพื้นผิวเรียบ ไม่มีรอยขูดขีด เวลาวาดอาจรองด้วยกระดาษปรู๊ฟเพื่อให้เกิดความนุ่มขณะวาด มีขนาดตามความเหมาะสมของชิ้นงานเพราะฉะนั้นอาจมีกระดานรองวาดหลายแผ่นตามขนาดของกระดาษ


2. กระดาษ (PAPER)
กระดาษสำหรับวาดเส้นมีหลายชนิด เช่น ปรู๊ฟมีทั้งผิวมันและผิวเรียบธรรมดา ซึ่งเหมาะกับการฝึกวาดภาพเพราะมีราคาไม่แพงมากนิยมใช้กับดินสอ 6B หรือ EE ถ่านเกรยอง ถ่านชาร์โคล ปอนด์ นิยมใช้ 60-100 ปอนด์ ซึ่งมีราคาแตกต่างกันตามความหนาของกระดาษ สามารถเลือกใช้ได้ตามเทคนิคของการวาดเส้นซึ่งต้องดูคุณสมบัตรและความแหมะสม เช่นน้ำหนัก การซึมซับและพื้นผิว


3. ตัวหนีบกระดาษ (CLIP)
ใช้หนีบกระดาษกับกระดานไม่ให้เลื่อนออกจากกัน


4. ยางลบ (RUBBER)
เลือกใช้ยางลบที่สำหรับลบเส้นดินสอโดยเฉพาะคุณภาพความนิ่มพอควร


5. มีดเหลาดินสอ (CUTTER)
ใช้เหลาดินสอให้แหลมสำหรับเก็บส่วนละเอียดของภาพวาด


6. ปากกาและหมึก (PEN AND INK)
สีที่ใช้นิยมใช้ในการวาดเส้น คือ สีดำหรือสีน้ำตาลควรเลือกใช้กระดาษที่มีความหนา เช่น 80 ปอนด์ หรือ 100 ปอนด์ จะเลือกใช้ผิวเรียบหรือหยาบก็ได้

7. ดินสอ (PENCIL)
เป็นอุปกรณ์พื้นฐานของการวาดเส้น ง่ายต่อการพกพาสามารถลบออกได้ด้วยยางลบดินสอมีให้เลือกทั้งไส้อ่อนและไส้แข็ง ซึ่งผู้ผลิตได้กำหนดอักษรเครื่องหมายไว้ เช่น H หมายถึง HARD คือ แข็ง เช่น 1H, 2H, 3H, 4H ฯลฯ หมายถึงไส้ดินสอที่แข็งขึ้นตามลำดับ เหมาะแก่การวาดเส้นที่คม เช่น การสานเส้น ดินสอขนาด B หมายถึง ขนาดที่ใช้เขียนเป็นลายเส้นค่อนข้างเข้มดินสอขนาด 1B-6B ไส้ก็จะค่อยๆอ่อนขึ้นตามลำดับ ไส้ดินสอที่อ่อนจะให้ความดำมากกว่าไส้ดินสอที่แข็ง
ดินสอที่มีขนาดเหมาะกับการวาดเส้นแรเงา 2B เหมาะกับการร่างภาพ 4B ขึ้นไปหรือ EE เหมาะแก่การลงเงา B ยิ่งมากไส้ก็ยิ่งอ่อน และให้ความดำได้ดี แต่ดินสอลักษณะนี้ไม่เหมาะกับการใช้ยางลบเพราะจะทำให้ดูสกปรกถ้าเขียนหนักก็ลบไม่ออก เวลาเขียนจะให้น้ำหนักอ่อนแก่แต่ต้องอาศัยการผ่อนน้ำหนักมือในการวาด

credit : http://www.showwallpaper.com/view.php?topic=6928